เมื่อ : 01 พ.ค. 2566

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สนับสนุนงานวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาอุตสาหกรรมเลี้ยงหอยมุก หลังนักวิจัยไทยโชว์ฝีมือค้นพบเมือกหอยมุก สุดยอดแห่งโมเลกุลเพปไทด์และโปรตีนจำนวนมาก มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูสภาพชั้นผิวหนัง ลดการอักเสบ นับเป็นการศึกษาวิจัยที่สามารถค้นพบประโยชน์จากส่วนอื่น ๆ ของหอยมุกมากขึ้นกว่าเดิมนอกเหนือจากเปลือกและไข่มุก
      

ดร.วิภารัตน์  ดีอ่อง  ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา วช. ภายใต้กระทรวง อว. ให้ความสำคัญอย่างมากกับโครงการการเพิ่มมูลค่าและการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้ และของเหลือใช้จากอุตสาหกรรมการเลี้ยงหอยมุกสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ในอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพและความงาม (ปี 2562) ของ ดร.สุพนิดา วินิจฉัย หัวหน้าโครงการฯ แห่งสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพราะปัจจุบันไข่มุกที่เกิดขึ้นจากหอยมุกนอกจากจะเป็นอัญมณีที่สวยงามแล้ว ยังมีประโยชน์สำคัญต่อสุขภาพด้านการปรับสมดุลร่างกาย และบำรุงผิวพรรณ นับว่าเป็นการสร้างมูลค่าที่ได้จากผงไข่มุก และเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าแทนที่จะกลายเป็นของเหลือทิ้ง

ดร.วิภารัตน์  ดีอ่อง  ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา วช. ภายใต้กระทรวง อว. ให้ความสำคัญอย่างมากกับโครงการการเพิ่มมูลค่าและการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้ และของเหลือใช้จากอุตสาหกรรมการเลี้ยงหอยมุกสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ในอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพและความงาม (ปี 2562) ของ ดร.สุพนิดา วินิจฉัย หัวหน้าโครงการฯ แห่งสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพราะปัจจุบันไข่มุกที่เกิดขึ้นจากหอยมุกนอกจากจะเป็นอัญมณีที่สวยงามแล้ว ยังมีประโยชน์สำคัญต่อสุขภาพด้านการปรับสมดุลร่างกาย และบำรุงผิวพรรณ นับว่าเป็นการสร้างมูลค่าที่ได้จากผงไข่มุก และเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าแทนที่จะกลายเป็นของเหลือทิ้ง

ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนาและวิธีการสกัดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับส่วนของเมือกและเปลือกหอยมุกซึ่งเป็นของเหลือจากอุตสาหกรรมการเลี้ยงหอยมุก โดยใช้กรรมวิธีที่สามารถดำเนินการถ่ายทอดให้กับผู้ประกอบการในอนาคตต่อไป โดยจะเป็นการผลิตสารสกัดโปรตีนและแคลเซียมคาร์บอเนตจากเมือกหอยมุกและผงเปลือกหอยมุกจาก 3 พันธุ์ ได้แก่หอยมุกกัลปังหา (Pteria penguin) หอยมุกขอบดำ (Pinctada margaritifera) และหอยมุกจาน (Pinctada maxima) และศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางการตลาดของของผลิตภัณฑ์จากเมือกและผงเปลือกหอยมุก ผลปรากฏว่า พบว่าสารสกัดโปรตีนจากผงเปลือกหอยมุก ทั้ง 3 สายพันธุ์ มีลักษณะเป็นผงแห้งสีขาวถึงขาวนวล สามารถออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ดี มีกรดอะมิโนที่สำคัญสามารถออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ไฟโบรบลาสต์บนผิวหนังของมนุษย์ได้ดี ส่วนการสกัดคอลลาเจนจากเมือกหอยมุก พบว่ามีปริมาณคอลลาเจนอยู่ในช่วง 17- 44 % จึงมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ สามารถออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินในเซลล์ ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล Nation Center for Biotechnology Information 

ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนาและวิธีการสกัดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับส่วนของเมือกและเปลือกหอยมุกซึ่งเป็นของเหลือจากอุตสาหกรรมการเลี้ยงหอยมุก โดยใช้กรรมวิธีที่สามารถดำเนินการถ่ายทอดให้กับผู้ประกอบการในอนาคตต่อไป โดยจะเป็นการผลิตสารสกัดโปรตีนและแคลเซียมคาร์บอเนตจากเมือกหอยมุกและผงเปลือกหอยมุกจาก 3 พันธุ์ ได้แก่หอยมุกกัลปังหา (Pteria penguin) หอยมุกขอบดำ (Pinctada margaritifera) และหอยมุกจาน (Pinctada maxima) และศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางการตลาดของของผลิตภัณฑ์จากเมือกและผงเปลือกหอยมุก ผลปรากฏว่า พบว่าสารสกัดโปรตีนจากผงเปลือกหอยมุก ทั้ง 3 สายพันธุ์ มีลักษณะเป็นผงแห้งสีขาวถึงขาวนวล สามารถออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ดี มีกรดอะมิโนที่สำคัญสามารถออกฤทธิ์ต้านการอักเสบและกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ไฟโบรบลาสต์บนผิวหนังของมนุษย์ได้ดี ส่วนการสกัดคอลลาเจนจากเมือกหอยมุก พบว่ามีปริมาณคอลลาเจนอยู่ในช่วง 17- 44 % จึงมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ สามารถออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินในเซลล์ ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล Nation Center for Biotechnology Information 

สำหรับความสำเร็จสู่การนำไปใช้ หรือ ประโยชน์ที่เกิดจากงานวิจัย คือ ได้กระบวนการสกัดและสารสกัดจากโปรตีนจากผงเปลือกหอยมุกและสารสกัดคอลลาเจนจากเมือกหอยมุก ที่สามารถนำไปใช้เป็นสารป้องกันแสงแดดในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้ดี

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ