วธ. ร่วมงานพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพครั้งยิ่งใหญ่ ในเทศกาลนวราตรี วัดแขกสีลม

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568 กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ร่วมกับสำนักพราหมณ์
พระราชครู ในสำนักพระราชวัง และวัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขกสีลม) จัดพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่
ศรีมหาอุมาเทวี และองค์พระศิวะมหาเทพ เนื่องในเทศกาลนวราตรี ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี เขตบางรัก กรุงเทพ

นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา
ได้ร่วมกับสำนักพราหมณ์พระราชครู ในสำนักพระราชวัง องค์การทางศาสนาศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ที่กรมการศาสนาให้การรับรองได้ร่วมกับวัดพระศรีมหาอุมาเทวี จัดพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและ
องค์พระศิวะมหาเทพ ภายใต้เทศกาลนวราตรี พ.ศ. 2568 ตามโครงการ
“เสน่ห์แห่งสีสัน เทศกาลแห่งศรัทธา” เพื่อส่งเสริมประเพณีในมิติศาสนา โดยประเพณีแต่งงานขององค์เทพที่จะได้เห็นในวันนี้ เป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมของพิธีแต่งงานในประเทศในกลุ่มทวีปเอเชียรวมถึงประเทศไทย ดังจะเห็นได้จาก
การจัดรูปแบบของขบวนขันหมาก และการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่ออวยพรคู่แต่งงานที่ได้รับอิทธิพล
สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน การจัดงานครั้งนี้เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเทศกาลในมิติทางศาสนา เป็นการยกระดับเทศกาลประเพณีให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และก่อให้เกิดความศรัทธาและความเชื่อ จึงเป็น
การส่งเสริมเศรษฐกิจในมิติศาสนาผ่านงานเทศกาลมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ชุมชนรอบวัดและธุรกิจ
ที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านจำหน่ายเครื่องสักการะ อาหาร และบริการเช่าชุดอินเดีย มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้
ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นายสุรพงษ์ สิริธรกุล ประธานคณะกรรมการมูลนิธิวัดพระศรีมหาอุมาเทวี กล่าวว่า การจัดพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ ในวันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568
จะแสดงถึงวัฒนธรรมการจัดรูปแบบของขบวนขันหมากและพิธีอภิเษกสมรสตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
โดยจะจัดเพียง 1 ครั้งในรอบปีเท่านั้น จึงเป็นพิธีกรรมที่ได้รับความสนใจจากศาสนิกชน และคู่รักหรือคู่ครอง
ที่จะมาขอพรเพื่อการแต่งงาน และการสมหวังในความรัก โดยในปีนี้ได้รับเกียรติจาก นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับเชิญเป็นประธานในพิธีการสำคัญนี้อีกด้วย
พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี เป็นอวตารหนึ่งของพระแม่ปารวตี ชายาของพระศิวะมหาเทพ เป็นหนึ่งในเทพตรีมูรติผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบด้วย พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ โดยพระองค์ทรงทำหน้าที่เป็นผู้ทำลายล้างสิ่งชั่วร้าย เพื่อให้เกิดแต่ความดีงามบนโลกใบนี้ ในคติความเชื่อของไศวนิกาย
ได้มีการนับถือให้พระองค์เป็นเจ้าสูงสุด โดยทั้งสองพระองค์มีพระราชโอรส คือ พระขันธกุมารและพระพิฆเนศ
ศาสนิกชนที่เข้าร่วมในพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ
จะได้ร่วมในขบวนแห่ขันหมาก ซึ่งประกอบด้วยขนมมงคลบนถาดบูชาสำหรับถวายองค์เทพ โดยเมื่อจบพิธี จากนั้นจึงเข้าร่วมในพิธีโหมกูณฑ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีบูชาพระเป็นเจ้าทางศาสนาฮินดู โดยพราหมณ์จะนำสิ่งของเครื่องบูชาต่างๆ อาทิ ไม้ เครื่องหอม สมุนไพร ธัญพืช ดอกไม้ เนย น้ำผึ้ง น้ำมันเนย ข้าว ขนม ผลไม้ อัญมณี พวงมาลัย ตลอดจนพัสตราภรณ์ เป็นต้น ลงไปเผาในกองกูณฑ์ที่ลุกโชนด้วยไฟ ซึ่งถือเป็นการถวายเครื่องบูชาผ่านทางพระอัคนี ไปสู่พระเป็นเจ้าองค์ที่เราประกอบพิธีบูชา
ลำดับต่อมาพราหมณ์ประกอบพิธีอภิเษกสมรสระหว่างองค์เทพ โดยอุปโลกน์พราหมณ์สองท่าน
เป็นองค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ ซึ่งเป็นพราหมณ์ผู้มาจากเมืองมาดูไร วัดในประเทศอินเดียที่จัดพิธีสมรสขององค์พระแม่ตามตำนาน โดยพราหมณ์ในพิธีจะประกอบพิธีมอบสร้อยมงคลแก่กันและกัน และจูงมือเดินรอบกองไฟ 7 รอบเช่นเดียวกับตำนาน จากนั้นประธานในพิธีจึงโปรยดอกไม้อวยพรเทพ
ทั้งสององค์ ไกวชิงช้าและร่วมกันอธิษฐานดอกไม้เป็นอันเสร็จพิธี
ตลอดการงานเทศกาลนวราตรี ระหว่างวันที่ 22 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม 2568 นั้น เป็นประเพณีสำคัญทางศาสนาฮินดู ภายในงานมีการจัดกิจกรรมบูชาองค์เทพที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ซึ่งเป็น
ที่เคารพนับถือของศาสนิกชน ตลอดทั้งเทศกาลจะมีพิธีบูชาองค์เทพต่างๆในช่วงเช้าเริ่มเวลา 09.30 น. และช่วงค่ำ
เริ่มเวลา 17.30 น. ที่วัดพระศรีมหาอุมาเทวี ศาสนิกชนสามารถเดินทางเข้ามาร่วมพิธีได้โดยไม่มีการจำกัด
เชื้อชาติ หรือศาสนา โดยเชื่อว่าจะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตของตนเองและครอบครัวด้วย
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการเสน่ห์แห่งสีสัน เทศกาลแห่งศรัทธา ภายใต้การจัดกิจกรรมเทศกาลของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เป็นการส่งเสริมให้ศาสนิกชนได้ปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนา
อันเป็นการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันศาสนาให้เป็นเสาหลักที่จะสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณธรรม ศาสนิกชนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันด้วยความรักสามัคคีสืบต่อไป