เมื่อ : 16 ส.ค. 2567

สถานการณ์ “ขยะพลาสติก” เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับโลก หากยังไม่มีระบบการจัดการขยะที่เพียงพอและไม่มีประสิทธิภาพได้มีการคาดการณ์ว่าภายใน 20 ปีข้างหน้า จะมีขยะหลุดรอดออกสู่สิ่งแวดล้อมทั่วโลก จำนวนมากถึง 700 ล้านตัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศบนบก และระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ จากการศึกษางานวิจัยพบว่า มีการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในร่างกายมนุษย์จากการบริโภคสัตว์น้ำมาอย่างต่อเนื่องและมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทุกปี ในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา พบว่า 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีการปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก สำหรับประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก พร้อมกับประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ดังนั้น การจัดการขยะพลาสติกจึงต้องเป็นวาระสำคัญที่ต้องดำเนินการร่วมกับทุกภาคส่วนในระดับภูมิภาคที่ใช้ทะเลหรือมหาสมุทรร่วมกัน 

ดร.วิจารย์ ชี้ให้เห็นว่าในปัจจุบันมนุษย์ใช้ทรัพยากรไปแล้วเทียบเท่ากับโลก 1.7 ใบ การใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือมลพิษต่างๆ  เช่น ปัญหาขยะล้นเมือง ขยะพลาสติกในทะเล การสะสมไมโครพลาสติกในทะเล ที่ส่งต่อการสะสมในร่างกายของมนุษย์ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5) สิ่งเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำลายป่า และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของโลกและสภาวะอากาศที่แปรปรวน และนำมาสู่ปัญหาวิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั้งโลก ซึ่งสังเกตได้จากเหตุการณ์ต่างๆที่ต้องเผชิญ เช่น การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกที่เพิ่มขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการเกิดภัยพิบัติต่างๆ ที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงที่ส่งผลกระทบกว้างขวางขึ้น เช่น น้ำท่วมในพื้นที่ทะเลทรายที่เมืองดูไบ หิมะตกในทะเลทราย กระบองเพรชที่เติบโตในประเทศที่มีหิมะ หรือกระทั่งการอุบัติใหม่ของเชื้อโรคที่ถูกแช่แข็งอยู่ในธารน้ำแข็ง ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่eroต้องจับตามองและเตรียมพร้อมเพื่อรองรับปัญหาดังกล่าว

ในส่วนของประเทศไทย การดำเนินงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้มีการกำหนดเป้าหมายในการลด ทั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) และการสร้างภูมิคุ้มกันหรือความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Resilience)
 

โดยที่สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษาในการจัดทำการคำนวณและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพื่อช่วยสนับสนุนให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีนโยบายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทำการประเมินและทราบถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมองค์กร หรือจากสินค้าและบริการขององค์กร เพื่อนำไปสู่การตั้งเป้าหมายและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ และจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ปัจจุบันหลายภาคส่วนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการดำเนินกิจกรรมที่ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่ธรรมชาติมากมาย และสภากาชาดไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน จึงได้ร่วมมือกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยดำเนินโครงการ “Green” Red Cross โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับเจ้าหน้าที่ของสภากาชาดไทย และเพื่อจัดการกับก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานภารกิจของสภากาชาดไทย เพื่อมุ่งหวังให้เกิดผลผลิต ได้แก่ สำนักงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Office) ต้นแบบ รายงานค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (Carbon Footprint for Organization) กิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของหน่วยงานภายใต้สภากาชาดไทย และโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) รวมถึงเจ้าหน้าที่ของสภากาชาดไทยมีศักยภาพในการจัดทำรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้กับหน่วยงานของตนเองได้

โครงการ “Green” Red Cross นี้ ยังช่วยเสริมการดำเนินงานของสภากาชาดไทยให้เป็นสากลที่สอดรับกับเป้าหมายของกฎบัตรว่าด้วยสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมสำหรับองค์กรด้านมนุษยธรรม (Climate and Environment Charter for Humanitarian Organizations) ซึ่งเป็นความร่วมมือของกลุ่มองค์กรด้านมนุษยธรรมในระดับนานาชาติ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการตระหนักถึงวิกฤตการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามแนวทางที่กำหนดไว้ในความตกลงปารีส กรอบการดำเนินงานเซนไดเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) และกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทางหนึ่งด้วย