เมื่อ : 28 มิ.ย. 2567
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2565 (รอบสำรวจข้อมูลประจำปี 2566)

International Institute for Management Development (IMD) เผยแพร่รายงาน World Competitiveness Ranking ประจำปี 2567 ในภาพรวมประเทศไทยปรับอันดับดีขึ้นจากปีก่อน 5 อันดับ จากอันดับที่ 30 ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 25 จาก 67 ประเทศ โดยปัจจัยหลักด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) อยู่อันดับที่ 5 (ดีขึ้น 11 อันดับ) ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) อยู่อันดับที่ 24 (อันดับคงที่) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) อยู่อันดับที่ 20 (ดีขึ้น 3 อันดับ) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)       
อยู่อันดับที่ 43 (อันดับคงที่) 
สำหรับปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Infrastructure) ซึ่งเป็นปัจจัยย่อยภายใต้โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ปรับอันดับลดลง 1 อันดับ (จากอันดับที่ 39 ลดลงมาอยู่ในอันดับที่ 40) ประกอบด้วย 22 ตัวชี้วัด แบ่งเป็น Hard data 15 ตัวชี้วัด Survey data 3 ตัวชี้วัด และ Background data 4 ตัวชี้วัด พบว่า ปี 2567 อันดับดีขึ้น 2 ตัวชี้วัด อันดับคงที่ 6 ตัวชี้วัด และอันดับลดลง 13 ตัวชี้วัด 

ดร. วิภารัตน์  ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  เปิดเผยว่า ผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2565 (รอบสำรวจข้อมูลประจำปี 2566) พบว่า ปี 2565 ภาพรวมค่าใช้จ่าย R&D ของประเทศไทย อยู่ที่ 201415 ล้านบาท มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.99 หรือ คิดเป็นร้อยละ 1.16 ของ GDP ของประเทศ แบ่งเป็นค่าใช้จ่าย R&D ในภาคเอกชน  146321 ล้านบาท และภาคอื่นๆ (รัฐบาลอุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไม่ค้ากำไร) 55094 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนภาคเอกชนต่อภาคอื่นๆ อยู่ที่ร้อยละ 73 : 27 

เมื่อจำแนกค่าใช้จ่าย R&D ตามหน่วยดำเนินการ (Sector of performance) พบว่า ภาคเอกชนมีค่าใช้จ่าย R&D มากที่สุด 146321 ล้านบาท (ร้อยละ 72.65) รองลงมาคือ ภาคอุดมศึกษา 40301 ล้านบาท (ร้อยละ 20.01) ภาครัฐบาล 12123 ล้านบาท (ร้อยละ 6.02) ภาครัฐวิสาหกิจ 1542 ล้านบาท (ร้อยละ 0.76) และภาคเอกชนไม่ค้ากำไร 1128 ล้านบาท (ร้อยละ 0.56)
 

เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่าย R&D ในภาคเอกชน พบว่า ภาพรวมเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 1.00 เมื่อจำแนกตาม Sector พบว่า เป็นค่าใช้จ่ายในภาคอุตสาหกรรมการผลิต 77762.97 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.70) ภาคอุตสาหกรรมการบริการ 35530.34 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 43.30)  และภาคอุตสาหกรรมค้าส่ง/ค้าปลีก 32804.28 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 127.20) และค่าใช้จ่าย R&D อื่น ๆ (งบประมาณแผ่นดินจากรัฐบาล 223.19 ล้านบาท) และจำแนกตามขนาดได้ดังนี้ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 119991.86 ล้านบาท (ร้อยละ 82.01 ) อุตสาหกรรมขนาดกลาง 15298.73 ล้านบาท (ร้อยละ 10.45) และอุตสาหกรรมขนาดย่อม 10807 ล้านบาท (ร้อยละ 7.39)

จากผลการสำรวจพบว่าอุตสาหกรรมที่มีค่าใช้จ่าย R&D สูงสุด 3 อันดับแรก คือ

อันดับ 1 อุตสาหกรรมอาหาร 22314 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2564 พบว่ามีค่าใช้จ่ายลดลง โดยผู้ประกอบการให้ความเห็นว่าเกิดจากความกังวลจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ผลกระทบจากภัยแล้ง และการเตรียมการปรับตัวเพื่อรองรับมาตรการภาครัฐที่อาจเกิดขึ้น เช่น การลดการบริโภคโซเดียม (Sodium intake reduction) หรือ มาตรการการจัดเก็บภาษีจากเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

อันดับ 2 กิจกรรมบริการทางการเงิน ยกเว้น การประกันภัยและกองทุนบำเหน็จบำนาญ 21882 ล้านบาท มีค่าใช้จ่าย R&D สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยผู้ประกอบการให้ความเห็นว่าเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การขยายการให้บริการทางการเงินของผู้ประกอบการฟินเทค (FinTech) การเปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) เข้ามาแข่งขันพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการมากขึ้น

อันดับ 3 ธุรกิจค้าส่ง/ตัวแทนจำหน่าย 17240 ล้านบาท มีค่าใช้จ่าย R&D สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยผู้ประกอบการให้ความเห็นว่าเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ตลาดค้าส่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเป็น B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) จากการเข้ามาของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ธุรกิจขายส่งขยายตลาดผ่านช่องทาง Digital Platform หรือ Marketplace ต่าง ๆ มากขึ้น มีคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าของไทยเพิ่มขึ้นจากสภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกภายหลังสถานการณ์โควิด-19

เมื่อพิจารณา GERD/GDP ของประเทศไทยเทียบกับภูมิภาคอาเซียน จากฐานข้อมูล IMD ซึ่งปี 2565 (2022) เป็นปีล่าสุดข้อมูล พบว่า ประเทศไทยมี GERD/GDP อยู่ในอันดับที่ 2 ของอาเซียน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา โดยห่างจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งประมาณ 1.7 เท่า และในช่วงปี 2564-2565 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนส่วนใหญ่มี GERD/GDP ลดลง ได้แก่ สิงคโปร์ (ลดลงร้อยละ 11.11) ไทย (ลดลงร้อยละ 4.13) และมาเลเซีย (ลดลงร้อยละ13.40 )


สำหรับบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยปี 2565 ในภาพรวมมีบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบรายหัว) 242061 คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.17) และบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาที่ทำงานเทียบเท่าเต็มเวลา (Full-time equivalent: FTE) 165126 คน-ปี (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.43) โดยบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบ FTE) จำแนกเป็นนักวิจัย 133684 คน-ปี (ร้อยละ 80.96) ผู้ช่วยนักวิจัย 19506 คน-ปี (ร้อยละ 11.81) และผู้ทำงานสนับสนุน 11936 คน-ปี (ร้อยละ 7.23) คิดเป็นสัดส่วนบุคลากร R&D (แบบ FTE) ต่อประชากร 10000 คน อยู่ที่ 25 คน-ปี โดยอยู่ในภาคเอกชน 114583 คน-ปี และภาคอื่น ๆ 50543 คน-ปี หรือคิดเป็นสัดส่วนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา(แบบ FTE) ของภาคเอกชนต่อภาคอื่น ๆ อยู่ที่ร้อยละ 69:31

เมื่อเทียบกับภูมิภาคอาเซียน พบว่า ไทยมีบุคลากร R&D (แบบ FTE) ต่อประชากร 1000 คน อยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน เป็นรองมาเลเซียและสิงคโปร์

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ

นวัตกรรม
วันที่ 8 สิงหาคม 2566 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การขับเคลื่อนและเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืน ด้านเกษตรอินทรีย์เชิงธุรกิจในพื้นที่คุ้งบางกระเจ้า ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเชิงบูรณาการ” โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ พร้อมด้วย นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายเตชพล ฐิตยารักษ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นางสาววัชรี ชูรักษา ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นายปรัชญ์ลือ พิณกาญจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ นายอรุษ นวราช นายกสมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย ณ เวที Highlight Stage มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานค
08 ส.ค. 2566